ทำไมกำไรลด? เปิดโปง 'ต้นทุนแฝง' ที่ซ่อนอยู่ในสินค้านำเข้าของคุณ
สำหรับผู้บริหารฝ่ายการเงิน (CFO) การปิดงบประมาณที่ยอดขายพุ่งสูงแต่กำไรกลับหดหายเป็นฝันร้ายที่ไม่มีใครอยากเจอ สถานการณ์นี้มักเกิดจากตัวการสำคัญที่หลายคนมองข้าม นั่นคือ ต้นทุนแฝง (Hidden Costs) ที่ซ่อนอยู่ตลอดกระบวนการนำเข้าสินค้า ต้นทุนเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วเรียกว่า ต้นทุนสินค้าถึงมือ (Landed Cost) ซึ่งเป็นตัวเลขที่แท้จริงที่สะท้อนค่าใช้จ่ายทั้งหมดของสินค้าหนึ่งชิ้น และการคำนวณที่ผิดพลาดคือสาเหตุหลักที่ทำให้กำไรที่คุณคาดการณ์ไว้ ไม่ใช่กำไรที่คุณได้รับจริง
ไม่ใช่แค่ราคาซื้อ! ต้นทุนสินค้าถึงมือ (Landed Cost) คืออะไรกันแน่?
Landed Cost คือ ต้นทุนรวมทั้งหมดของสินค้า นับตั้งแต่ราคาหน้าโรงงานผู้ผลิต ไปจนถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพื่อให้สินค้านั้นเดินทางมาถึงคลังสินค้าของคุณพร้อมขาย ซึ่งประกอบด้วยราคาซื้อบวกกับค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์, ค่าขนส่ง, ค่าประกัน, อากรศุลกากร, ภาษี และค่าธรรมเนียมอื่นๆ อีกมากมาย การมองเห็นภาพรวมของต้นทุนทั้งหมดนี้คือหัวใจของการตั้งราคาที่ทำกำไรและการจัดการซัพพลายเชนที่มีประสิทธิภาพ
ราคาหน้าโรงงาน (Ex-Works Price) | ต้นทุนสินค้าถึงมือ (Landed Cost) |
---|---|
ราคาซื้อสินค้า | ราคาซื้อสินค้า |
(มองเห็นเพียงต้นทุนเดียว) | + ค่าขนส่งระหว่างประเทศ (Freight) |
+ ค่าประกันภัย (Insurance) | |
+ อากรขาเข้า (Customs Duties) | |
+ ภาษีนำเข้า (Import Taxes/VAT) | |
+ ค่าธรรมเนียมท่าเรือ/สนามบิน (Port/Terminal Charges) | |
+ ค่าดำเนินการพิธีการศุลกากร (Customs Brokerage Fees) | |
+ ค่าขนส่งภายในประเทศ (Inland Transportation) | |
= ต้นทุนที่แท้จริงของสินค้า |
แจกแจงทุกองค์ประกอบ: ต้นทุนอะไรบ้างที่ต้องรวมใน Landed Cost
เพื่อให้การคำนวณมีความแม่นยำสูงสุด คุณจำเป็นต้องรวบรวมและแจกแจงส่วนประกอบของต้นทุนทั้งหมด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วย:
- ค่าสินค้า (Product Cost): ราคาซื้อขายสินค้าตามเงื่อนไข Incoterms ที่ตกลงกัน เช่น FOB (Free On Board)
- ค่าขนส่งระหว่างประเทศ (International Freight): ค่าระวางเรือหรือค่าขนส่งทางอากาศจากประเทศต้นทางมายังประเทศไทย
- ค่าประกันภัย (Insurance): ค่าเบี้ยประกันภัยเพื่อคุ้มครองความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง
- อากรขาเข้า (Customs Duties): ภาษีที่เรียกเก็บโดยกรมศุลกากรตามพิกัดของสินค้าแต่ละประเภท
- ภาษีนำเข้า (Import Taxes): โดยทั่วไปคือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่คำนวณจากราคา CIF + อากรขาเข้า
- ค่าใช้จ่ายท่าเรือ/สนามบิน (Port/Terminal Handling Charges): ค่าภาระ, ค่ายกตู้, ค่าลากตู้ และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ณ ท่าเรือหรือสนามบิน
- ค่าดำเนินการพิธีการศุลกากร (Customs Brokerage Fees): ค่าบริการของตัวแทนออกของ (ชิปปิ้ง)
- ค่าขนส่งภายในประเทศ (Inland Transportation): ค่าขนส่งสินค้าจากท่าเรือหรือสนามบินมายังคลังสินค้าของคุณ
RISK ALERT: ผลกระทบทางการเงินที่คาดไม่ถึง
การคำนวณพลาดเพียง 5% ใน Landed Cost อาจส่งผลให้กำไรสุทธิต่อหน่วยลดลง 5-15% และกระทบต่อกำไรของทั้งบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังทำให้การประเมินมูลค่าสต็อกสินค้าในงบดุลผิดเพี้ยนไปหลายสิบล้านบาท ซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและเป็นอุปสรรคต่อการวางแผนทางการเงินในระยะยาว
4 ขั้นตอนคำนวณ Landed Cost ให้แม่นยำเหมือนจับวาง
การคำนวณ Landed Cost ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนหากทำอย่างเป็นระบบ การปฏิบัติตาม 4 ขั้นตอนต่อไปนี้จะช่วยให้คุณได้ตัวเลขที่แม่นยำและนำไปใช้ต่อยอดได้จริง
- ขั้นตอนที่ 1: รวบรวมเอกสารค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวบรวมใบแจ้งหนี้ (Invoice) และใบเสร็จจากทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ Commercial Invoice, Bill of Lading (B/L), Air Waybill (AWB), ใบขนสินค้าขาเข้า, ใบเสร็จค่าธรรมเนียมต่างๆ จากตัวแทนออกของและบริษัทขนส่ง
- ขั้นตอนที่ 2: รวมยอดค่าใช้จ่ายแฝงทั้งหมด นำค่าใช้จ่ายทั้งหมดนอกเหนือจากค่าสินค้ามารวมกัน เพื่อให้ได้ยอด 'ต้นทุนแฝงรวม' ของการนำเข้าในชิปเมนต์นั้นๆ คุณสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพิกัดอัตราศุลกากรได้จากเว็บไซต์กรมศุลกากร
- ขั้นตอนที่ 3: กระจายต้นทุนเข้าสู่สินค้าแต่ละหน่วย นำ 'ต้นทุนแฝงรวม' มาปันส่วนให้กับสินค้าแต่ละชิ้นในชิปเมนต์นั้น โดยสามารถเลือกวิธีการปันส่วนได้หลายแบบ เช่น ตามมูลค่า (Value), ตามน้ำหนัก (Weight), หรือตามปริมาตร (Volume) ของสินค้าแต่ละ SKU
- ขั้นตอนที่ 4: วิเคราะห์และบันทึกข้อมูลในระบบ นำต้นทุน Landed Cost ต่อหน่วยที่คำนวณได้มาบวกกับราคาซื้อสินค้า เพื่อให้ได้ต้นทุนที่แท้จริง จากนั้นบันทึกข้อมูลลงในระบบบัญชีหรือ ERP เพื่อใช้ในการตั้งราคาขาย, ประเมินมูลค่าสต็อก, และวิเคราะห์กำไร
กับดักของ Manual: ทำไม Excel อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับธุรกิจที่กำลังโต
หลายบริษัทยังคงใช้สเปรดชีตอย่าง Excel ในการคำนวณ Landed Cost ซึ่งแม้จะดูเหมือนง่าย แต่สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีปริมาณการนำเข้าสูง วิธีการนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยงและไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งความผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error), การขาดข้อมูลแบบเรียลไทม์, และไม่สามารถรองรับการขยายตัวของธุรกิจได้ สิ่งนี้สร้างความเสี่ยงมหาศาลต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของ CEO และความมั่นคงทางการเงินของบริษัท
คุณสมบัติ | Manual Process (Excel) | Automated ERP System |
---|---|---|
ความแม่นยำ | ต่ำ, เสี่ยงต่อ Human Error สูง | สูงมาก, คำนวณอัตโนมัติตามสูตรที่กำหนด |
การมองเห็นข้อมูล Real-time | ไม่มี, ข้อมูลล่าช้า | มี, ข้อมูลอัปเดตทันทีที่บันทึกค่าใช้จ่าย |
ความสามารถในการขยายตัว (Scalability) | ต่ำ, จัดการได้ยากเมื่อธุรกรรมเพิ่มขึ้น | สูง, รองรับปริมาณข้อมูลมหาศาลได้ |
การตรวจสอบย้อนกลับ (Audit Trail) | ยาก, ขาดการเชื่อมโยงข้อมูล | ง่าย, ทุกขั้นตอนถูกบันทึกและเชื่อมโยงกัน |
เปลี่ยนภาระให้เป็นพลัง: บริหาร Landed Cost อัตโนมัติด้วยเทคโนโลยี ERP
ทางออกสำหรับบริษัทที่กำลังเติบโตและต้องการความแม่นยำสูงสุดคือการใช้เทคโนโลยี ระบบ ERP สมัยใหม่ ที่มีโมดูล Landed Cost โดยเฉพาะ ระบบจะทำการรวบรวมและปันส่วนต้นทุนแฝงทั้งหมดเข้ากับราคาสินค้าโดยอัตโนมัติ ทำให้ฝ่ายบัญชีและการเงินลดเวลาการทำงานที่ซ้ำซ้อน และเปลี่ยนข้อมูลต้นทุนที่เคยซับซ้อนให้กลายเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์
ผู้บริหารสามารถเข้าถึงข้อมูลผ่าน Real-time Dashboards ทำให้เห็นต้นทุนที่แท้จริงของสินค้าแต่ละตัวได้ทันที ช่วยให้สามารถตั้งราคาขายได้อย่างมีกลยุทธ์, บริหารจัดการกระแสเงินสดได้ดีขึ้น, และประเมินมูลค่าคงคลังได้อย่างถูกต้องแม่นยำ การมี Automated Cost Allocation และ Integrated Financial Reporting ไม่เพียงแต่ช่วยลดความผิดพลาด แต่ยังสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเตรียมความพร้อมให้บริษัทก้าวสู่การเติบโตระดับต่อไปได้อย่างมั่นคง
พร้อมเปลี่ยนต้นทุนที่ควบคุมไม่ได้ ให้เป็นกำไรที่คาดการณ์ได้แล้วหรือยัง?
หยุดปล่อยให้ต้นทุนแฝงกัดกินกำไรของคุณ ระบบ ERP ของเราช่วยให้ฝ่ายการเงินมองเห็นต้นทุนรวมที่แท้จริง (True Landed Cost) ได้แบบ Real-time, เพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์, และสร้างความแข็งแกร่งให้งบการเงินเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้าน Finance & ERP ดู Dashboard การเงินอัจฉริยะ