หยุดเลือดไหลในคลังสินค้า: เปลี่ยนต้นทุนจมจากสต็อกหมดอายุให้เป็นกำไรด้วยระบบ FEFO ERP
สำหรับธุรกิจที่กำลังเติบโต การจัดการสต็อกแบบ FEFO (First Expired, First Out) ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือกลยุทธ์สำคัญสู่ความมั่นคงทางการเงินและการเตรียมพร้อมสู่ IPO
4 July, 2025 by
DM Post
 

เงินจม สต็อกบวม: คณะผู้บริหารกำลังมองข้าม 'ตัวเลขขาดทุน' จากสินค้าหมดอายุอยู่หรือไม่?

ลองจินตนาการว่าเงินทุนหมุนเวียน 5-10% ของบริษัทคุณกำลังจะหมดอายุลงบนชั้นวางสินค้า นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาเล็กๆ ในคลังสินค้า แต่คือ ต้นทุนจม (Sunk Cost) ที่กำลังกัดกินกำไรของบริษัทโดยตรง สำหรับธุรกิจที่มีรายได้ 500 ล้าน - 5,000 ล้านบาทที่ตั้งเป้าจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ (IPO) หรือขยายกิจการอย่างก้าวกระโดด ปัญหา สินค้าหมดอายุ คือสัญญาณอันตรายที่นักลงทุนและผู้ตรวจสอบบัญชีจับตามองอย่างใกล้ชิด

ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อผู้บริหารในทุกระดับ: CFO ต้องเผชิญกับกำไรขั้นต้นที่ลดลงและการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่ซับซ้อน COO ต้องรับมือกับต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นจากการจัดการด้วยมือและพื้นที่คลังสินค้าที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ และที่สำคัญที่สุด CEO ต้องแบกรับความเสี่ยงด้านชื่อเสียงของแบรนด์และเผชิญกับคำถามที่ว่า 'ระบบภายในของเราดีพอที่จะรองรับการเติบโตในอนาคตแล้วหรือยัง?'

FEFO vs FIFO: เลือกกลยุทธ์ที่ใช่ ปกป้องกำไรของคุณ

หลายบริษัทคุ้นเคยกับหลักการ FIFO (First In, First Out) หรือ 'เข้าก่อน-ออกก่อน' ซึ่งเพียงพอสำหรับสินค้าที่ไม่มีวันหมดอายุ แต่สำหรับธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม ยา เวชสำอาง หรือสินค้าอุปโภคบริโภค กลยุทธ์นี้คือจุดเริ่มต้นของหายนะทางการเงิน การเปลี่ยนมาใช้หลักการ First Expired, First Out (FEFO) หรือ 'หมดอายุก่อน-ออกก่อน' คือคำตอบที่ตรงจุดที่สุด

ลองดูตารางเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น:

หัวข้อเปรียบเทียบFEFO (First Expired, First Out)FIFO (First In, First Out)
หลักการทำงานหยิบสินค้าที่ใกล้จะหมดอายุที่สุดออกไปขายก่อน โดยไม่สนใจว่าสินค้าล็อตนั้นจะเข้ามาเมื่อไหร่หยิบสินค้าที่เข้ามาในคลังก่อนเป็นลำดับแรกออกไปขายก่อน โดยไม่สนใจวันหมดอายุ
เหมาะกับสินค้าประเภทสินค้ามีวันหมดอายุ เช่น อาหาร, เครื่องดื่ม, ยา, เครื่องสำอาง, เคมีภัณฑ์สินค้าที่ไม่มีวันหมดอายุ หรือมีอายุยาวนานมาก เช่น อะไหล่, วัสดุก่อสร้าง, เสื้อผ้าแฟชั่น
ผลกระทบต่อการขาดทุนลดการสูญเสียและ ลดสินค้าหมดอายุ ได้อย่างมีนัยสำคัญ ปกป้องกำไรของบริษัทมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดสินค้าหมดอายุค้างสต็อก หากมีสินค้าล็อตใหม่เข้ามาแต่หมดอายุเร็วกว่า
ความซับซ้อนในการจัดการสูงมากหากทำด้วยมือ ต้องมีการติดตาม Lot Number และวันที่หมดอายุ (EXP Date) อย่างเข้มงวดจัดการง่ายกว่า สามารถทำได้ด้วยการจัดวางสินค้าตามลำดับ

ทำไมการจัดการ FEFO ด้วยมือ (Manual) ถึงล้มเหลวเมื่อธุรกิจโต?

ในตอนที่บริษัทยังเล็ก การใช้ Excel หรือจดบันทึกเพื่อทำ FEFO อาจดูเหมือนเป็นไปได้ แต่เมื่อธุรกิจเติบโต คำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น SKU ซับซ้อนขึ้น วิธีการแบบ Manual จะกลายเป็นฝันร้ายและนำไปสู่ความล้มเหลวอย่างรวดเร็วด้วยเหตุผลเหล่านี้:

  • Human Error: ความผิดพลาดจากการคีย์ข้อมูล การจดบันทึก หรือการหยิบสินค้าผิดล็อต เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และสร้างความเสียหายโดยตรง
  • Lack of Real-time Visibility: ผู้บริหารไม่สามารถเห็นข้อมูลสต็อกที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันได้ ทำให้การตัดสินใจผิดพลาดและไม่ทันท่วงที
  • Inefficient Picking Process: พนักงานคลังสินค้าต้องเสียเวลาไปกับการค้นหาและตรวจสอบวันหมดอายุของสินค้าแต่ละชิ้น ทำให้กระบวนการเบิกจ่ายล่าช้าและมีต้นทุนสูง
  • Scalability Issues: ระบบ Manual ไม่สามารถรองรับปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดได้ กลายเป็นคอขวดที่ฉุดรั้งการเติบโตของทั้งองค์กร
  • No Data for Forecasting: ข้อมูลที่ไม่เป็นระบบทำให้ฝ่ายจัดซื้อและการเงินไม่สามารถพยากรณ์ความต้องการสินค้าได้อย่างแม่นยำ นำไปสู่การสั่งซื้อที่ไม่มีประสิทธิภาพ

พลิกเกมด้วยระบบ ERP: ทำให้ FEFO เป็นจริงและอัตโนมัติ

เทคโนโลยีคือคำตอบเดียวที่จะทำให้กลยุทธ์ FEFO เกิดขึ้นได้จริงในสเกลที่ใหญ่ขึ้น ระบบ FEFO ERP ไม่ใช่แค่โปรแกรมจัดการสต๊อก แต่เป็นแกนกลางที่เชื่อมโยงทุกแผนกเข้าด้วยกัน ทำให้กระบวนการเป็นไปอย่างอัตโนมัติและไร้รอยต่อ นี่คือขั้นตอนการทำงานของ FEFO ใน ระบบ ERP ที่ทันสมัย:

  1. รับสินค้า (Goods Receipt): ทันทีที่สินค้ามาถึง ระบบจะบังคับให้พนักงานบันทึกข้อมูลสำคัญ เช่น Lot Number และวันหมดอายุ (EXP Date) ผ่านเครื่องสแกนบาร์โค้ด ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกบันทึกเข้าระบบกลางทันที
  2. จัดเก็บ (Put-away): ระบบสามารถแนะนำตำแหน่งจัดเก็บที่เหมาะสมที่สุดตามหลัก FEFO เพื่อให้ง่ายต่อการหยิบในอนาคต
  3. สร้างคำสั่งขาย (Sales Order): เมื่อมีคำสั่งซื้อจากลูกค้า ระบบจะทำการจอง (Reserve) สต็อกสินค้าจากล็อตที่ใกล้หมดอายุที่สุดให้โดยอัตโนมัติ ป้องกันการหยิบผิดพลาดตั้งแต่ต้นทาง
  4. เบิก/หยิบสินค้า (Picking): พนักงานคลังสินค้าจะได้รับใบเบิกสินค้า (Picking List) ผ่าน Mobile App ซึ่งระบุตำแหน่งและ Lot Number ที่ต้องไปหยิบอย่างชัดเจน ลดเวลาในการค้นหาและลดความผิดพลาดให้เป็นศูนย์
  5. ตัดสต็อกและจัดส่ง (Dispatch): เมื่อสแกนสินค้าเพื่อจัดส่ง ระบบจะตัดสต็อกตาม Lot ที่ถูกต้อง ทำให้ข้อมูลสินค้าคงคลังในระบบเป็น Real-time 100%

ผลลัพธ์ที่วัดผลได้: ประโยชน์ของการใช้ FEFO ใน ERP ที่ผู้บริหารต้องรู้

การลงทุนใน ระบบ FEFO ERP ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนชัดเจนและวัดผลได้ในหลายมิติ ตั้งแต่การลดต้นทุนสินค้าคงคลังไปจนถึงการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า การมีข้อมูลที่แม่นยำยังช่วยให้บริษัทสามารถตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ได้อย่างรวดเร็วในกรณีที่ต้องเรียกคืนสินค้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาชื่อเสียงของแบรนด์

ยิ่งไปกว่านั้น การมีระบบควบคุมภายในที่แข็งแกร่งซึ่งพิสูจน์ได้ผ่านตัวเลขและรายงานจาก ERP คือข้อได้เปรียบมหาศาลในการเจรจากับนักลงทุนหรือการเตรียมความพร้อมของบริษัทเพื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ตามที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กำหนดไว้ว่าบริษัทต้องมีระบบการควบคุมภายในที่ดี

Pro Tip: นอกเหนือจากการลดของเสียแล้ว กลยุทธ์ FEFO ที่ทำงานบน ERP ยังมอบข้อมูลที่แม่นยำสำหรับการพยากรณ์ความต้องการสินค้า (Demand Forecasting) และการจัดซื้อ สิ่งนี้ช่วยให้ทีมการเงินสามารถปรับการจัดสรรเงินทุนให้เหมาะสม และนำเสนอเรื่องราวทางการเงินที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่แข็งแกร่งแก่นักลงทุนและคณะกรรมการบริษัทได้อย่างมั่นใจผ่าน BI Dashboard ที่ทันสมัย

เลือก ERP อย่างไรให้รองรับ FEFO และพร้อมโตไปกับคุณ

ไม่ใช่ทุกระบบ ERP จะจัดการ FEFO ได้ดีเท่ากัน การเลือกพาร์ทเนอร์และโซลูชันที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอนาคตของบริษัท ควรมองหาระบบ ERP ที่มีความสามารถหลักดังนี้:

  • Lot & Serial Number Tracking: ต้องสามารถติดตามสินค้าในระดับล็อตและซีเรียลได้อย่างละเอียดตลอดทั้งซัพพลายเชน
  • Mobile Warehouse Management (WMS): มีแอปพลิเคชันสำหรับอุปกรณ์พกพาเพื่อการทำงานในคลังสินค้าที่รวดเร็วและแม่นยำ
  • Advanced Reporting & Analytics: สามารถสร้างรายงานวิเคราะห์ข้อมูลสต็อก เช่น รายงานสินค้าใกล้หมดอายุ (Near-Expiry Report) หรือรายงานการเคลื่อนไหวของสินค้าตามล็อตได้
  • Scalability: ระบบต้องมีความยืดหยุ่นและสามารถรองรับการเติบโตของธุรกิจ ทั้งในด้านปริมาณข้อมูลและจำนวนผู้ใช้งานได้ในอนาคต

การเลือกใช้ระบบ ERP ที่มีฟังก์ชันเหล่านี้ครบถ้วน คือการวางรากฐานที่แข็งแกร่ง ไม่เพียงแต่เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและปลดล็อกศักยภาพการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน

พร้อมเปลี่ยน 'ต้นทุนจม' ให้เป็น 'กระแสเงินสด' แล้วหรือยัง?

การจัดการสต็อกที่ยอดเยี่ยมคือรากฐานของธุรกิจที่แข็งแกร่งและพร้อมเติบโตสู่ระดับ IPO หยุดปล่อยให้กำไรของบริษัทรั่วไหลไปกับสินค้าหมดอายุ Motion ERP พร้อมเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณควบคุมสต็อกได้อย่างแม่นยำ ลดการขาดทุน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรีดูโซลูชัน ERP ของเรา
Share this post